นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในตลาดการเงินมายาวนานถึง 48 ปี ได้กล่าวเปิดประเด็นสำคัญถึงการนำเสนอในครั้งนี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หรือที่เรียกว่า “กับดัก 20 ปี” โดยชี้ว่าปัญหาดังกล่าวมีรากฐานมาจากปัญหาเชิงสถาบัน (Institutional Factors) ที่ฝังลึกและขัดขวางการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการวิเคราะห์จากมุมมองเศรษฐศาสตร์ที่เน้นไปที่โครงสร้างสถาบันของประเทศ
ในช่วงต้นของการนำเสนอ มีการย้อนดูประวัติศาสตร์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก พบว่า GDP ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่างอย่างสิ้นเชิงจากช่วงเวลา 1,800 ปีก่อนหน้านั้น การเติบโตนี้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อรูปของสถาบันสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ได้แก่ การเกิดขึ้นของรัฐชาติ, การพัฒนาของประชาธิปไตย (ทั้งจากการปฏิรูปและการปฏิวัติ), การถือกำเนิดของวิชาเศรษฐศาสตร์ในฐานะศาสตร์เพื่อจัดสรรทรัพยากร และการก่อตัวของตลาดการเงินสมัยใหม่ที่เอื้อต่อการบริหารทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการผงาดขึ้นของจีนและอินเดียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และในช่วงสงครามเย็น โดยชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญของจีนในปี 1979 ที่เปลี่ยนจากระบบวางแผนแบบสังคมนิยมมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แม้ในเวลานั้น GDP ต่อหัวของจีนยังต่ำกว่าของไทยหลายเท่าตัว แต่การปรับเปลี่ยนเชิงสถาบันดังกล่าวได้จุดประกายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว แตกต่างจากประเทศไทยที่กลับเติบโตช้าลงในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีโอกาสสูง (ระหว่างปี 1980-2007)
ผู้บรรยายยังได้กล่าวถึงผลกระทบของโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกของจีน ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการกระจายรายได้ทั่วโลก โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ คนจนที่สุดและคนรวยที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว และชนชั้นกลางในประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ชนชั้นกลางในประเทศพัฒนาแล้วกลับเสียประโยชน์มากที่สุด ซึ่งปัจจัยนี้เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกระแสประชานิยมและผู้นำแบบประชานิยม เช่น กรณี Brexit หรือการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาศัยฐานเสียงจากกลุ่มที่ถูกผลกระทบจากโลกาภิวัตน์
ในกรณีของไทย อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงหลังถือว่าต่ำมาก (เพียง 1.1-1.6%) และต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากคุณภาพของสถาบันในประเทศไทยที่ต่ำ โดยวัดจากดัชนีสากลต่าง ๆ เช่น ดัชนีธรรมาภิบาล นิติธรรม และการควบคุมการทุจริต ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย แสดงให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก
อย่างไรก็ตาม นายบรรยงเสนอว่าการเข้าใจและใช้ดัชนีเชิงสถาบันเหล่านี้อย่างจริงจังสามารถชี้ทางในการปฏิรูปได้อย่างชัดเจน ข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น การเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูลรัฐบาล โดยอาจนำรูปแบบอย่าง GeM (Government e-Marketplace) ของอินเดียมาใช้ เพื่อให้ข้อมูลรัฐสามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณชนและสื่อมวลชน ซึ่งจะช่วยลดการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายภาครัฐ อันเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต เช่น หลังทศวรรษ 1950 และ 1980 ถูกนำกลับมาวิเคราะห์ใหม่ โดยชี้ว่าการเติบโตในช่วงแรกเกิดจากการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้แรงงานและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ส่วนการเติบโตระลอกหลังได้แรงหนุนจากการค้นพบก๊าซธรรมชาติและการอุตสาหกรรม นายบรรยง ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายต่อความเชื่อที่ว่าประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย โดยเสนอว่า ระบบการเมืองใดจะนำไปสู่การเติบโตได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจและคุณภาพทางการเมืองในขณะนั้น
ในระดับโลก COVID-19 ถูกมองว่าเป็น “คลื่นสึนามิ” ลูกแรกจากทั้งหมดสามลูก (อีกสองคือลูกของภาวะถดถอยและปัญหาเชิงระบบขนาดใหญ่) แม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยกลับใช้เวลาถึง 4 ปีจึงกลับสู่ระดับก่อนโควิด ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ซึ่งความล่าช้านี้ไม่ได้มาจากผลกระทบของโรคระบาดโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายในและการขาดความพร้อมเชิงสถาบัน
ช่วงท้ายของการนำเสนอ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ การเยือนไทยของเติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายปี 1978 ถึงต้นปี 1979 ซึ่งถือเป็น “เหตุการณ์เปลี่ยนโลก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เติ้งเข้าร่วมพิธีทางศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนถึงการเปิดกว้างของนโยบายจีนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากบริบทในภูมิภาค (เช่น สถานการณ์เวียดนามในกัมพูชา) เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ด้วยการยุติความโดดเดี่ยวของจีนในยุคสงครามเย็น
สุดท้าย นายบรรยงย้ำว่าปัญหาหลักที่ขัดขวางการพัฒนาของไทยคือปัญหาเชิงดารเมืองที่ฝังลึก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นในระยะยาวเพื่อปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง หากต้องการให้ประเทศไทยสามารถปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ได้ในอนาคต
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงการค้าโลกกำลังเปลี่ยนทิศทางจากการเปิดเสรีไปสู่การกีดกันทางการค้ามากขึ้น ภายใต้นโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการปรับปรุงดุลการค้า สหรัฐฯ ได้ใช้การขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าต่างๆ รวมถึงอินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซีย เพื่อลดการขาดดุลการค้าและเพิ่มรายได้เข้ารัฐ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระทบต่อกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่โลกเคยได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนและการกีดกันทางการค้ามาโดยตลอด
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐฯ อยู่ที่ 19% ซึ่งสูงขึ้นจากเดิม แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคได้ เช่น เวียดนามและมาเลเซีย อัตราภาษีนี้เป็นผลจากการเจรจาต่อรองที่ไทยต้องยอมแลกเปลี่ยนกับการเปิดตลาดและมาตรการอื่นๆ ซึ่งหากไทยไม่สามารถเจรจาได้อัตรานี้ อาจต้องเผชิญภาษีสูงถึง 36% และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการดึงดูดการลงทุนในไทย
เพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% จากสหรัฐฯ ไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหมู นอกจากนี้ยังต้องลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การออกใบอนุญาตนำเข้า และการตรวจสอบสินค้า สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เช่น LNG การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ โดยบางภาคส่วนอาจได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง ขณะที่บางภาคส่วนจะเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น
สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับประเด็น ‘Transshipment’ หรือการที่สินค้าจีนถูกส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่สาม รวมถึงไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี สหรัฐฯ อาจกำหนดเงื่อนไขว่าสินค้าที่ส่งออกจากไทยต้องมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศไม่ต่ำกว่า 49% หากไม่เป็นไปตามนี้ อาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อ Supply Chain และการลงทุนจากจีนในไทย ที่มักเป็นการนำชิ้นส่วนมาประกอบในไทยเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ
นโยบายภาษีของทรัมป์ถือเป็น ‘Shock’ ครั้งสำคัญที่บังคับให้ไทยต้องเลือกระหว่างอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออก กับภาคเกษตรที่ต้องเปิดเสรีมากขึ้น และต้องเลือกระหว่างการร่วมมือกับสหรัฐฯ หรือจีน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เป็นโอกาสให้ไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น ภาคเกษตรต้องเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนจากต่างประเทศ ควรส่งเสริมให้มีการใช้ Supply Chain และเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและลดความเปราะบางของเศรษฐกิจในระยะยาว






























